กลไกการห้ามเลือดของร่างกาย
กลไกการห้ามเลือด (Hemostasis) ตามธรรมชาติ ร่างกายมนุษย์เป็นจักรกลมีชีวิตที่มหัศจรรย์มาก ทันทีที่ร่างกายเกิดบาดแผลและมีเลือดไหล กลไกบางอย่างในร่างกายจะทำงานเพื่อห้ามเลือดทันทีดังนี้
1.หลอดเลือดหดตัว หลอดเลือดปกติมีสมบัติยืดหยุ่นดี สามารถหดหรือขยายตัวได้ เมื่อเกิดบาดแผลมีเลือดไหลออกมาร่างกายจะตอบสนองโดยทำให้หลอดเลือดหดตัวเพื่อลดการเสียเลือด
2.การกระจุกตัวของเกล็ดเลือด ทันทีที่เลือดไหล เกล็ดเลือดซึ่งลอยปะปนอยู่ในกระแสเลือดจะเข้าไปกระจุกตัวบริเวณที่หลอดเลือดฉีกขาด เกล็ดเลือดนอกจากจะมีบทบาทในการแข็งตัวของเลือดแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้เกิดการแข็งตัวของเลือด (platelet factors I, II, III และ IV) ด้วย
3.การเปลี่ยนโปรตีนที่แฝงในน้ำเลือดให้เป็นวุ้นอุดบาดแผล เมื่อร่างกายเกิดบาดแผลจะเกิดการกระตุ้นเปลี่ยนโปรตีนในเลือดให้กลายเป็นวุ้นอุดที่บาดแผล นอกจากนี้ยังมีเซลล์อีกชนิดหนึ่งทำหน้าที่สร้างเส้นใย โดยสานเป็นร่างแหเพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล ระบบห้ามเลือดทั้ง 3 แบบของร่างกายจะทำงานต่อเนื่องและสอดรับกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างไฟบริน ซึ่งเป็นโครงร่างตาข่ายหุ้มกลุ่มเกล็ดเลือดให้แข็งแรงและให้เลือดหยุดไหลในที่สุด
ความเป็นมาแผ่นห้ามเลือด
แม้ร่างกายจะมีกลไกการห้ามเลือดตามธรรมชาติอยู่ แต่การปฐมพยาบาลเพื่อห้ามเลือดยังคงเป็นสิ่งจำเป็น วิธีห้ามเลือดที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันคือ การกดแผล การกดเส้นเลือดแดงเหนือแผล การใช้สายรัด นอกจากวิธีทั่วไปเหล่านี้วงการแพทย์ยังพยายามพัฒนาวิธีห้ามเลือดแบบใหม่ออกมาเพื่อช่วยชีวิตผู้คน ซึ่งการใช้แผ่นปิดแผลห้ามเลือดก็เป็นเทคโนโลยีการห้ามเลือดแบบหนึ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
คนทั่วไปอาจนึกว่า การใช้แผ่นปิดห้ามเลือดเป็นวิธีห้ามเลือดแบบใหม่ แต่ความจริงการพัฒนาวัสดุห้ามเลือดเริ่มมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 แล้ว โดยนายเบอร์เจล (Bergel) ได้ทำการทดลอง และรายงานว่า ผงไฟบริน (fibrin – โปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกายที่ทำให้เลือดแข็งตัว) มีสมบัติช่วยห้ามเลือดได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1938 นักวิทยาศาสตร์สามารถสกัดสารทรอมบิน (thrombin) ให้บริสุทธิ์ได้ จึงนำไปผสมกับสารไฟบรินทำแผ่นปิดแผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการติดผิวหนังให้แผ่นปิดแผลที่ปลูกถ่ายให้ทหารที่โดนไฟลวก
การใช้แผ่นปิดแผลที่มีสารไฟบริน และสารทรอมบินเป็นองค์ประกอบเป็นที่ยอมรับของประเทศแถบยุโรปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่ไม่ได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากวงการแพทย์อเมริกันกังวลถึงโอกาสการติดเชื้อจากแผ่นปิดแผล
กระทั่งถึงปี ค.ศ. 1998 องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (Food and Drug Administration, FDA) จึงให้การรับรองผลิตภัณฑ์แผ่นปิดแผลยี่ห้อ Tisseel® ที่ผ่านการตรวจ และอนุมัติให้จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นยี่ห้อแรก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีการเตรียมแผ่นปิดแผลห้ามเลือดไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์นี้ก็มีราคาสูง และประเทศไทยยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้เสมอภาค
แผ่นปิดแผลห้ามเลือดฝีมือนักวิจัยไทย
ดร.วนิดา จันทร์วิกูล นักวิจัย และทีมวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติมีความสนใจและศึกษาการนำไคติน/ ไคโตซานมาใช้เป็นวัสดุตั้งต้นเพื่อเตรียมวัสดุห้ามเลือดนานแล้ว โดยเฉพาะอนุพันธ์ของไคโตซานที่ชื่อ สารคาร์บอกซีเมทิลไคโตซาน (carboxymethyl chitosan) เนื่องจากอนุพันธ์ของสารนี้มีสมบัติโดดเด่นหลายอย่าง เช่น ช่วยเร่งการแข็งตัวของเลือด สามารถละลายน้ำได้ มีความเป็นพิษต่ำ มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
หลังจากดำเนินการวิจัยและพัฒนามาระยะหนึ่ง ดร.วนิดา และทีมวิจัยก็สามารถพัฒนาต้นแบบแผ่นห้ามเลือดสำหรับแผลภายนอกสำเร็จ และได้ร่วมมือกับทีมแพทย์จากโรงพยาบาลอ่างทอง จ.อ่างทอง ในการศึกษาประสิทธิภาพการห้ามเลือดของผลิตภัณฑ์โดยการทดลองใช้จริง เพื่อเปรียบเทียบกับแผ่นปิดแผลห้ามเลือดที่มีการจำหน่าย 2 ชนิด โดยแผ่นห้ามเลือดต้นแบบถูกนำมาใช้กับแผล split thickness skin graft donor site ในผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บที่มีการปลูกถ่ายผิวหนังได้ดี
ทีมวิจัยและทีมแพทย์ได้ทดลองใช้แผ่นปิดแผลห้ามเลือดกับผู้ป่วย 12 ราย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2551 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา พบว่าวัสดุต้นแบบที่พัฒนาขึ้นมาสามารถดูดซับเลือดได้ดี สามารถหยุดเลือดได้ดีกว่าวัสดุห้ามเลือดที่มีการจำหน่ายทั้ง 2 ชนิด และไม่ต้องใช้ผ้าก๊อซปิดทับวัสดุปริมาณมาก นอกจากนี้เนื่องจากแผ่นปิดแผลต้นแบบมีความสามารถในการดูดซับเลือดดีจึงช่วยให้แผลมีสภาพแห้ง และสัมผัสกับวัสดุได้ดี ส่งผลให้ประสิทธิภาพการห้ามเลือดดียิ่งขึ้น
ในปัจจุบันทีมวิจัยกำลังทำการทดสอบแผ่นปิดแผลห้ามเลือดภายนอกเพิ่มเติมเพื่อเก็บข้อมูลให้ครบจำนวน 20 ราย และในขณะเดียวกันก็กำลังติดต่อภาคเอกชนที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัสดุห้ามเลือดนี้ เพื่อนำไปผลิตใช้จริงกับผู้ป่วยในอนาคต
ความรู้ประกอบ
คาร์บอกซีเมทิลไคโตซาน เป็นสารอนุพันธ์ของไคโตซาน ที่ได้จากการทำปฏิกิริยาคาร์บอกซีเมทิลเลชัน (carboxymethylation) ของไคโตซานในสภาวะที่เป็นด่าง สารนี้ละลายได้ในน้ำ มีความเป็นพิษต่ำ และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
เรียบเรียงข้อมูลโดย บุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์